Sunday 9 February 2014

เนยงาดำ ลองทำเองสิ



 อาหารมือเช้าของพ่อโทนี่คือ กาแฟกับขนมปัง ส่วนเราก็จัดหนักเป็นข้าวจานโตเพราะเป็นพวกใช้แรงงาน ถ้าไม่กินเดี๋ยวเป็นลมไปไม่มีใครช่วย ปกติถ้าอยู่บ้านเราก็ทำขนมปังธัญญพืชกินเองอยู่แล้ว แต่บางครั้งไม่รู้จะกินกับอะไรดี เราไม่ชอบเนยและชีส ส่วนแยมผลไม้ก็หวานเกินไป  ตอนขึ้นเชียงใหม่ไปร้านโครงการหลวงเจอเนยงาดำเลยลองซื้อมาทากับขนมปัง คำแรกก็ติดใจซะแล้ว

เนยงาดำที่ซื้อมาดันหมด เราเลยลองทำเองตามแบบฉบับชาวมั่วแบบสร้างสรรค์ของเรา ด้วยเพราะคิดไปเอง เราก็เอางาดำไปคั่ว แล้วเอาใส่ครกตำกับน้ำตาลและเกลือเล็กน้อย ออกมาหน้าตาพอใช้ได้แต่ไม่ค่อยละเอียด แอบดูจากฉลากเก่าข้างขวดบอกส่วนผสมว่ามีน้ำมันงาด้วย เราจัดการตั้งไฟที่มีน้ำมันงาอยู่ พอเริ่มร้อนก็เอางาที่ตำไปคั่วอีก กลิ่นหอมมากๆ แต่เอ๊ะ ทำไมมันไม่เนียนหล่ะ จับตัวกันเป็นก้อนแข็งๆ เชียว เริ่มไม่ได้การแล้ว เราเลยรีบเอาขึ้น พองาดำเย็นตัวก็กลายป็นขนมงาดำกรอบไปเลย เฮ้อ ผิดแผน
ไม่มีเครื่องปั่น เลยใช้เครื่องบดเมล็ดกาแฟแทน

ด้วยความมุ่งมั่นเลยลองทำอีกครั้ง แต่เพื่อความชัวร์ เข้าไปหาสูตรจากทางอินเตอร์เน็ทก่อนดีกว่า (เพิ่งฉลาด) ได้สูตรมาแล้ว แต่เราไม่มีเครื่องปั่น มีแต่ครก ทำไงดีน๊ะ ติ๊กตอกๆ สายตาเหลือบไปเห็นเครื่องบดเมล็ดกาแฟของพ่อโทนี่เข้า เจ้าตัวไม่อยู่บ้านแอบจัดการเอากาแฟออก เอางาคั่วใส่ไปแทน ลองปรับให้บดหยาบ งาดำก็ค่อยๆ ไหลออกมาช้าๆ หนืดๆ ซวยแล้ว เครื่องเขาจะพังไหมนี่ เราใส่งาดำคั่ว (ทิ้งให้เย็นตัว) เกลือนิดหน่อย น้ำตาลตามชอบ และหญ้าหวาน (ที่เห็นเป็นใบเขียวๆ) เพื่อแทนความหวานจากน้ำตาล บดออกมาหน้าตาดูเนียนเชียว

ต่อไปเราก็เทน้ำมันงา และน้ำผึ้งเพื่อเพิมความชุ่มชื้น ลองค่อยๆเติมทีละน้อยแล้วคลุกเคล้าส่วนผสมให้พอนุ่มเนื้อเนียน สุดท้ายก็ตักใส่ขวดแก้วที่ล้างสะอาดแล้ว เก็บไว้ในตู้เย็น อร่อยเชียว เนยงาดำที่ไม่ต้องใช้เนย ทำเองได้ไม่ยากจ้า


งาดำมีวิตามินต่างๆ โดยเฉพาะแคลเซี่ยมในปริมาณสูง มีประโยชน์ต่อร่างกาย ลองเข้าไปหาในกูรูทางอินเตอร์เน็ตก็จะพบคุณค่าของงาดำอยู่มาก


งาดำคั่วบดผสมน้ำตางทรายแดง เกลือ

เติมน้ำมันงา และน้ำผึ้งพอประมาณ
ตอนจบของเนยงาดำ....
เรารีบทำความสะอาดเครื่องบดกาแฟก่อนที่พ่อโทนี่จะกลับจากการปั่นจักรยานยามเช้า พอพ่อโทนี่กลับถึงบ้านก็เริ่มชงกาแฟตามปกติ แต่รสชาติของกาแฟในวันนี้จะมีกลิ่นงาเข้าไปด้วย ได้ยินเสียงแว่วมาจากหลังบ้านว่า " ทำไมกาแฟรสชาติแปลกๆ นะ" เราก็เลยต้องสารภาพความจริงไป

No comments:

Post a Comment