Tuesday, 10 June 2014

DIY: Environmentally friendly cleaning product

I used to work with local communities along the coastal area in the Andaman Sea, Thailand over 7 years. Since then, I stop buying any chemical dishwashing and toilet cleaning detergent. And just try to be an environmentally friendly in daily living. Learning by doing, experimenting and practicing from day to day, I

now do my own products such as household multi-purpose cleaning product,the toiletry product, organic fertilizer, and food preservation. 

Do it by yourself cleaning products is an article which I wrote for the Green Fins - Thailand. I share my knowledge by providing a technical supported to dive operators who are Green Fins member in Phuket, Phang-Nga, Krabi, and Koh Tao. Green Fins established in 2004 by United Nation Environment Programme (UNEP). There were 3 countries join the rogramme, of which Thailand, Philippines, and Indonesia. The aim of Green Fins is to protect and conserve coral reefs by establishing and implementing environmentally friendly guidelines to promote a sustainable diving tourism industry. For Green Fins in Thailand which I work as a volunteer, we seek to achieve Green Fins Code of Conduct. At this point, an eco-friendly cleaning product is one of the best practices that we urge the dive operators to improve the Code of Conduct of Green Fins.


 
Adopt “minimum discharge” and “responsible garbage” policies is one of code of Conduct of Green Fins that we urges members to use environmentally friendly cleaning products on boats and in kitchen cleaning areas. You can make it yourself to reduce your operating cost, and be eco-friendly to our coral reefs. Even you are not Green Fins members, you can help the Earth by do it your own cleaning product as per instruction below. 

Here is the recipe of the multi-purpose cleansing product that Green Fins use:
·   1 kg. of Texapon N-70 or the chemical name is Sodium Laurylether sulfate (SLES). This is biodegradable product for cleaning, which is made from oil palm. Or using mild surface-active agent (surfactant) such as Lauryl Betaine, a synthetic vegetable-derived liquid. Note: If you use Lauryl Betaine instead SLES, you need to add Coconut fatty acid (CDE) 1% - 2% to make liquid more thickness.
·   0.5 – 0.7 kg of Salt (it makes the liquid sticky and cleansing)
·  10 Liter of effective microorganism (EM) mix made with clean water (sour fruit fermented with effective microorganism)
or 10 liter of sour fruit juice (boiled) such as kaffir lime, lemon, orange, pineapple, etc.



How to mix it?



·  Put N-70 or Lauryl Betaine + CDE and salt into a 12 – 15 liter bucket.
·  Then add 1-2 liters of EM mix and stir it in the same direction. Stir until mixed, then add more EM water.
· After that, slowly add salt to make the liquid more sticky and stir until the salt is completely dissolved. You can add coloring and Kaffir lime or orange scent (food grade) to your taste. Leave it covered  over night. The color will clear and then put the cleansing detergent into containers. The mix will yield about 10 liters of cleaning product.
















Multipurpose cleansing product is used for:


·  Dishwashing and shower cleaning: mix 1 part cleaning detergent with 0.5 part clean water.
·  Clothes washing: soak clothes with water and cleaning detergent for 20-30 minutes.
·    Car washing: mix 1 tablespoon cleaning product with 1 bucket of water
·    Mirror cleansing: mix 1 teaspoon of cleaning detergent with water

to spray the mirror, then wipe using newspaper.


When the Selective microorganism working, it became white layer

   How to make EM water?

Normally there are 2 ways:

Text Box: www.greenfins-thailand.org
1. Mix up 1 part fruit waste, i.e. kaffir lime, lime, pineapple peel with 0.5 – 1 kg.
brown sugar and 2 parts of clean/ and non-chlorinated water (1 part of fruit : 1 kg of 
brown sugar: 2 parts of water). Cover the bucket and store it for 1-1.5 months or 
 until a white layer forms at the surface of the water (good bacteria).

2. Green Fins purchases dry EM from a laboratory. This kind of bacteria is good for 
making cleaning oil. 1 pack can make 100 Liters of EM water, but you can reduce the 
ratio. Mix up 1 part of fruit waste with concentrated dry EM and 2 parts of clean/
non-chlorinated water (1: EM: 2). Leave it for 5-7 days, then you will see the white layer form on the surface. Use only EM water. You can mix fruit waste with leaves 
and soil (10 parts) to make fertilizer.

Effective microorganism mix can be used as a multi-purpose cleaner:

·    Add some EM water into toilet fluid to reduce the bad smell in the toilet, or use 1 
part EM mix diluted with 20 parts water to reduce the smell from a flush toilet.
·    To clean a dirty floor apply EM mix to the floor or a toilet/shower room and leave 
it for 30 min. Then clean up the floor by adding some cleaning product and brushing. 
The living microorganism contains fruit acid, which is good for cleansing the floor and 
it is not harmful to human health or the environment.

Note: EM is not a chemical acid so it does not bleach your floor and make it as white 
as chemical cleaners, but it’s safe for both human and environmental health when it is released into the water or soil.

Eco-friendly cleaning product training to Green Fins Ambassadors in Khao Lak, Phang-Nga, Thailand
For more information contact: reefwatchthailand@gmail.comthailand@greenfins.net


Sunday, 18 May 2014

DIY: แชมพูและครีมนวดสมุนไพร ทำใช้เองไม่ยาก



เราได้ทำน้ำยาทำความสะอาดเอนกประสงค์ และน้ำหมักต่างๆ ใช้เองมากว่า ๗ ปีแล้ว และก็ยังทำครีมบำรุงผิว มีสบู่เหลว castile soap แชมพู เพราะด้วยความตั้งใจที่จะลดการใช้สารเคมีในบ้าน โชคดีที่รอบบ้านของเรา (และเพื่อนบ้าน) มีสมุนไพรสดหลายชนิด ทั้งว่านหางจระเข้ อัญชัน มะกรูด มะรุม ฯลฯ ก็เลยได้ทดลองผิด ทดลองถูกตามประสานักปฏิบัติการสิ่งแวดล้อมอิสระ โดยมีพ่อโทนี่ตัวดำ ฟันขาวเป็นหนูทดลอง คราวที่แล้วทดลองทำน้ำมะกรูดสระผมปรากฎว่าเราใช้แล้วไม่ถูกกัน แต่พี่โทนี่ใช้แล้วผมไม่ร่วง หัวไม่ล้าน คราวนี้เลยทำแชมพูและครีมนวดสูตรอ่อนโยน คือ แชมพูว่านหางจระเข้และมะกรูด กับ ครีมนวดผมน้ำมันมะกอกผสมอัญชัน เราเชื่อว่าการผสมน้ำยาต่างๆ ก็เหมือนกับการทำกับข้าว ไม่มีสูตรตายตัว ให้ปรับใช้ตามความเหมาะสม ที่สำคัญคือเราต้องเข้าใจคุณสมบัติของส่วนผสมแต่ละตัว เรามาทำความเข้าใจกันว่าส่วนผสมต่างๆ ที่ใช้ทำแชมพูมีคุณสมบัติอะไร
น้ำว่านหางจระเข้และน้ำมะกรูด 

Texapon N-8000

ผงฟอง
- Texapon N-8000 หรือ Sodium Lauryl ether sulphate (SLES) ความเข้มข้น ๒๘% คือ สารลดแรงตึงผิวประจุลบ มีหน้าที่เป็นสารทำความสะอาดต่างๆ ทำจากมาจากปาล์มน้ำมัน ปัจจุบันนี้ ใช้ Lauryl Betaine แทนซึ่งจะมีความอ่อนละมุนกว่าและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วยเพราะสามารถย่อยสลายได้ ไม่มีสารตกค้างเมื่อปล่อยสู่สิ่งแวดล้อม
- ผงข้นใส่ให้น้ำยาข้นขึ้น ซึ่งเกลือก็มีคุณสมบัติช่วยให้น้ำยาข้นเหมือนกัน แต่ไม่ควรใส่เยอะเกินไป

ลาโนลีน
- ลาโนลีนเป็นน้ำมันธรรมชาติที่มีอยู่ในขนแกะ เพื่อทำหน้าที่ปกป้องแกะ จากสภาพลมฝน และปกป้องขนแกะไม่ให้เกิดอาการแห้งกรอบ น้ำมันลาโนลินดังกล่าวนี้ สกัดได้จากขนแกะดิบ- ว่านหางจระเข้ (Aloe barbadensis Mill.) ช่วยเคลือบเส้นผม เพิ่มความชุ่มชื้นให้เส้นผมและหนังศีรษะ ทำให้ผมมีน้ำหนักไม่แห้งแตกปลาย วุ้นของว่านหางจระเข้ทำให้รากผมเย็น เป็นการช่วยบำรุงต่อมที่รากผมให้มีสุขภาพดี ผมจึงดกดำเป็นเงางาม เวลานำว่านหางจระเข้มาใช้ต้องปอกเปลือกและล้างส่วนที่เป็นยางสีเหลืองออกให้หมดก่อนเพราะมีฤทธิ์ระคายเคืองจากเนื้อเยื่อ
- น้ำมะกรูด( Kaffir Lime) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Citrus x hystrix L.ทำให้ผมดกเงางาม ป้องกันผมหงอกช้วยล้างสารเคมีบนเส้นผม รักษารังแคและชันตุ


แชมพูว่านหางจระเข้และมะกรูด

ส่วนผสม
๑. ว่านหางจระเข้ปั่น ๑ – ๒ ถ้วยตวง
๒. น้ำมะกรูด ๑ ถ้วยตวง
๓. น้ำสะอาด ๑ – ๑.๕ ลิตร (เราใช้น้ำกลั่นสมุนไพรฤทธิ์เย็นผสมด้วย)
๔. น้ำมันหอมระเหย ๑๐ – ๑๒ หยด (เลือกกลิ่นที่ชอบ) หรือน้ำหอม ๒๕ ซีซี
๕. Texapon N-8000 ๑ – ๑.๕ ถ้วยตวง หรือ Lauryl Betaine (อ่อนละมุนกว่า)
๖. ลาโนลีนเม็ด ๑ ถ้วยตวง
๗. ผงข้น ๐.๕ ถ้วยตวง (ถ้าไม่มีให้ใช้เกลือป่นแทน)
๘. ผงฟอง ๑ ถ้วยตวง (ถ้าไม่มีไม่เป็นไร) 

วิธีปรุง

- เริ่มจากเตรียมน้ำสมุนไพรสด โดยเก็บสมุนไพรมาเตรียมทำส่วนผสม ปอกว่านหางจระเข้แล้วล้างให้สะอาด ปั่นแล้วกรองเอากากออก ๑ ถ้วย เอามะกรูดปอกเปลือก เอาผิวมะกรูดปั่นผสมน้ำ ๑ ถ้วย เข้าไมโครเวฟสัก ๖ นาที จนน้ำมันออก หรือจะเอาไปต้มก็ได้นะ กรอกเอาแต่น้ำ- นำน้ำสมุนไพรและน้ำสะอาด ตั้งไฟกลางต้มจนร้อนแล้วเติมลาโนลีน คนให้เข้ากันจนลาโนลีนละลาย ยกลงจากเตา- เติมผงฟองและ N-8000 คนจนส่วนผสมเข้ากัน ทิ้งไว้จนเย็นแล้วจึงเติมผงข้น หรือเกลือเพื่อทำให้แชมพูข้นขึ้น- ใส่น้ำมันหอมระเหยแท้กลิ่นที่ชอบหรือหัวน้ำหอม ทิ้งไว้จนฟองยุบแล้วกรอกลงขวดแก้วที่ต้มน้ำร้อนฆ่าเชื้อแล้ว (จะอธิบายตอนท้ายว่าทำไมถึงใช้ขวดแก้ว)





ครีมนวดผมน้ำมันมะกอกและดอกอัญชัน


คาโคล 60 และ Rinse Compound 

ส่วนผสมหลักของครีมนวดผมมีสารเคมีที่ปลอดภัยต่อผิวหนังสองอย่างคือ

Rinse Compound หรือ ชื่อเคมีว่า Cetrimonium Chloride (Carsoquat CT 429) คือ สารตั้งต้นทำให้เกิดครีม และ คาโคล ๖๐ หรือ Cetyl Alcohol คือ สารเพิ่มเนื้อในครีมนวด


ส่วนผสม

๑. Rinse Compound CT 429 1 ออนซ์
๒. คาโคล ๖๐ ๑ ขีด
๓. น้ำสะอาด ๒ – ๓ ลิตร
๔. น้ำอัญชัญ ๒ ออนซ์
๕. น้ำมันมะกอก ๒ ช้อนโต๊ะ หรือ วิตามิน อี
๖. น้ำมันงาหีบเย็น ๑ ช้อนโต๊ะ (ถ้ามี)
๗. น้ำมันหอมระเหย ๑๐ – ๑๕ หยด

วิธีปรุง
- นำน้ำสะอาดต้มไฟอ่อนจนร้อน เติม RINES COMPOUND CT-429 และ คาโคล 60 คนให้เข้ากันจนละลายแล้วเติมยกขึ้นตั้งบนเตา เติมน้ำมันมะกอกและน้ำมันงาหีบเย็นลงไป คนให้เข้ากัน- คนต่อไปเรื่อยๆ จนเนื้อครีมข้นขึ้น พอเนื้อครีมเย็นลงก็เติมน้ำอัญชัน น้ำมันหอมระเหย หรือน้ำหอม
- ถ้าเนื้อครีมข้นไปให้เติมน้ำสะอาดเพิ่มแล้วคนให้เข้ากัน- แบ่งครีมนวดผมใส่ขวดเล็กมาใช้ ส่วนครีมที่เหลือบรรจุขวดแก้วนำใส่ตู้เย็นเพราะไม่ได้ใส่สารกันบูด
- จากสูตรนี้จะได้เนื้อครีมนวดผมประมาณ ๒ – ๓ กิโลกรัม



 
กวนเนื้อครีมนวดผมจนกว่าจะข้นจนเป็นครีม (ภาพขวามือ)

.........................................................................................................

ทำไมถึงใช้ขวดหรือภาชนะบรรจุที่เป็นแก้ว?


 เมื่อขวดพลาสติกโดนความร้อนผ่านนิดเดียวก็จะนิ่มและเปลี่ยนรูป

เนื่องจากเราพยายามลดการใช้สารเคมีในผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดในบ้านเรา แต่ก็ยังปฎิเสธไม่ได้ว่ายังคงใช้ส่วนผสมตั้งต้นที่ทำจากเคมีที่ปลอดภัยต่อผิวหนัง ในอนาคตเราตั้งใจจะพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ไม่ใช้สารเคมีให้ได้เรื่องของภาชนะบรรจุก็มีส่วนสำคัญเพราะส่วนใหญ่เราคุ้นเคยกับภาชนะบรรจุแชมพูและครีมนวดที่ทำจากพลาสติกชนิดต่างๆ แต่รู้ไหมว่าหากนำพลาสติกไปถูกความร้อนจะเกิดอะไรขึ้น? สารเคลือบพลาสติกมีสารตัวหนึ่งชื่อ Bisphenol A (BPA) ซึ่งเป็นสารที่ทำให้ขวดพลาสติกมีความใส แต่มันจะละลายผสมกับของเหลวที่บรรจุอยู่ในขวดเมื่อถูกความร้อนหรือแสงแดดนานๆ สาร BPA จะกรองออกและแทรกซึมลงในของเหลวและอาหารที่บรรจุอยู่ภายใน ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งอันตรายต่อมนุษย์ ทำให้ภูมิคุ้มกันบกพร่อง เราได้นำขวดแชมพูเก่ามาลวกน้ำร้อน แค่หย่อนขวดลงไป ขวดแชมพูพลาสติกก็ละลายเปลี่ยนรูปทรงเลย เราเลยตัดสินใจบรรจุแชมพูและครีมนวดผมลงในขวดน้ำมันมะกอกเก่า ขวดน้ำจิ้มเก่าแทน
แม้ว่าบรรจุภัณฑ์ที่ทำจากแก้วจะหนักกว่า แต่ก็ปลอดภัย ใช้ซ้ำได้และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม แค่นำไปต้มในน้ำเดือดสัก ๑๐ นาทีเพื่อฆ่าเชื้อโรค เมื่อรู้อย่างนี้แล้วก็อย่าทิ้งขวกน้ำจิ้ม ขวดแยมผลไม้เก่า ล้างทำความสะอาดและต้มฆ่าเชื้อโรคก่อนใช้ทุกครั้ง เพียงเท่านี้เราก็ลดการปนเปื้อนสารก่อมะเร็งในแชมพูและครีมนวดของเราแล้ว
..................................................................................................................................................


ผลการทดลองใช้

ตอนเย็นหลังจากพ่อโทนี่กลับจากการปั่นจักรยานทัวร์ริ่ง ก็ได้ทดลองใช้แชมพูและครีมนวดผมชุดล่าสุด ผลปรากฎว่าพ่อโทนี่บอกว่าใช้แล้วผมนุ่ม ลื่น และยุให้ทำขายเลย ตอนนี้พ่อโทนี่ได้ใช้แชมพูและครีมนวดสูตรนี้มาปีกว่าแล้ว สรุปว่าผมไม่ร่วง หัวไม่ล้านไหม เป็นที่น่าพอใจ แต่เรื่องตัวดำนี่ไม่เกี่ยวกับการใช้ผลิตภัณฑ์แต่อย่างใด (ดำแต่กำเนิด) อิๆๆ








หมายเหตุ  เราช่วย "โครงการกรีนฟินส์" โดยการอบรมทำผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดเอนกประสงค์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมฟรี


Sunday, 9 February 2014

เนยงาดำ ลองทำเองสิ



 อาหารมือเช้าของพ่อโทนี่คือ กาแฟกับขนมปัง ส่วนเราก็จัดหนักเป็นข้าวจานโตเพราะเป็นพวกใช้แรงงาน ถ้าไม่กินเดี๋ยวเป็นลมไปไม่มีใครช่วย ปกติถ้าอยู่บ้านเราก็ทำขนมปังธัญญพืชกินเองอยู่แล้ว แต่บางครั้งไม่รู้จะกินกับอะไรดี เราไม่ชอบเนยและชีส ส่วนแยมผลไม้ก็หวานเกินไป  ตอนขึ้นเชียงใหม่ไปร้านโครงการหลวงเจอเนยงาดำเลยลองซื้อมาทากับขนมปัง คำแรกก็ติดใจซะแล้ว

เนยงาดำที่ซื้อมาดันหมด เราเลยลองทำเองตามแบบฉบับชาวมั่วแบบสร้างสรรค์ของเรา ด้วยเพราะคิดไปเอง เราก็เอางาดำไปคั่ว แล้วเอาใส่ครกตำกับน้ำตาลและเกลือเล็กน้อย ออกมาหน้าตาพอใช้ได้แต่ไม่ค่อยละเอียด แอบดูจากฉลากเก่าข้างขวดบอกส่วนผสมว่ามีน้ำมันงาด้วย เราจัดการตั้งไฟที่มีน้ำมันงาอยู่ พอเริ่มร้อนก็เอางาที่ตำไปคั่วอีก กลิ่นหอมมากๆ แต่เอ๊ะ ทำไมมันไม่เนียนหล่ะ จับตัวกันเป็นก้อนแข็งๆ เชียว เริ่มไม่ได้การแล้ว เราเลยรีบเอาขึ้น พองาดำเย็นตัวก็กลายป็นขนมงาดำกรอบไปเลย เฮ้อ ผิดแผน
ไม่มีเครื่องปั่น เลยใช้เครื่องบดเมล็ดกาแฟแทน

ด้วยความมุ่งมั่นเลยลองทำอีกครั้ง แต่เพื่อความชัวร์ เข้าไปหาสูตรจากทางอินเตอร์เน็ทก่อนดีกว่า (เพิ่งฉลาด) ได้สูตรมาแล้ว แต่เราไม่มีเครื่องปั่น มีแต่ครก ทำไงดีน๊ะ ติ๊กตอกๆ สายตาเหลือบไปเห็นเครื่องบดเมล็ดกาแฟของพ่อโทนี่เข้า เจ้าตัวไม่อยู่บ้านแอบจัดการเอากาแฟออก เอางาคั่วใส่ไปแทน ลองปรับให้บดหยาบ งาดำก็ค่อยๆ ไหลออกมาช้าๆ หนืดๆ ซวยแล้ว เครื่องเขาจะพังไหมนี่ เราใส่งาดำคั่ว (ทิ้งให้เย็นตัว) เกลือนิดหน่อย น้ำตาลตามชอบ และหญ้าหวาน (ที่เห็นเป็นใบเขียวๆ) เพื่อแทนความหวานจากน้ำตาล บดออกมาหน้าตาดูเนียนเชียว

ต่อไปเราก็เทน้ำมันงา และน้ำผึ้งเพื่อเพิมความชุ่มชื้น ลองค่อยๆเติมทีละน้อยแล้วคลุกเคล้าส่วนผสมให้พอนุ่มเนื้อเนียน สุดท้ายก็ตักใส่ขวดแก้วที่ล้างสะอาดแล้ว เก็บไว้ในตู้เย็น อร่อยเชียว เนยงาดำที่ไม่ต้องใช้เนย ทำเองได้ไม่ยากจ้า


งาดำมีวิตามินต่างๆ โดยเฉพาะแคลเซี่ยมในปริมาณสูง มีประโยชน์ต่อร่างกาย ลองเข้าไปหาในกูรูทางอินเตอร์เน็ตก็จะพบคุณค่าของงาดำอยู่มาก


งาดำคั่วบดผสมน้ำตางทรายแดง เกลือ

เติมน้ำมันงา และน้ำผึ้งพอประมาณ
ตอนจบของเนยงาดำ....
เรารีบทำความสะอาดเครื่องบดกาแฟก่อนที่พ่อโทนี่จะกลับจากการปั่นจักรยานยามเช้า พอพ่อโทนี่กลับถึงบ้านก็เริ่มชงกาแฟตามปกติ แต่รสชาติของกาแฟในวันนี้จะมีกลิ่นงาเข้าไปด้วย ได้ยินเสียงแว่วมาจากหลังบ้านว่า " ทำไมกาแฟรสชาติแปลกๆ นะ" เราก็เลยต้องสารภาพความจริงไป

What should I drink today?


How much water that your body needs per day?  I live in a tropical climate which is warm and humid. So I drink water around 3 litre during the day. I never think about a quality of my drinking water which I bought from a shop until I found any information about alternative medicine last month. The facts are our body have acid because of many reason such as stressful, pollution, unhealthy foods, etc. So we should have food and drink which have alkalinity to balance our body and cooling down. This information is good for people who live in a warm climate like me.

After I have this information, I wonder how acid/ alkaline forming food/ drink water and a cup of coffee. I eager to know how pH level in the water that I drink. Start by set up an experiment using a simple pH paper. I test in every kind of water that I usually drink everyday. The result makes me change my behaviour to drinking.

Coffee test result : pH 5-6

A cup of coffee in every  morning is a good start for my brain. I have a coffee machine and use organic coffee from Suan Lahu Coffee in the Northern Thailand. Black coffee with sugar has pH 5 then I put some milk and test again. Coffee with milk is pH 6. I like coffee but  not be addicted so I can drink 1 cup of coffee with milk per day. 


Drinking water, I test 4 types of water, of which water from tap, drinking water, drinking water diluted with alkaline water and alkaline water. I purchased an alkaline water from an alternative medicine shop. The result shows that water from tap and drinking water are same pH level which is pH 6. For drinking water diluted with alkaline water is pH 9 and alkaline water is pH 12. No wonder that soft drink (dark colour) is the most acidity (pH 3). I put the result of the pH level in different kind on water at the board. 

This is not to say that you can't drink coffee or soft drink forever. The idea is balance acid and alkaline in your body using water or food because " you are what you eat." 


The pH level of each drink (from top to bottom)  : soft drink pH 3; black coffee (pH 5); black coffee with milk (pH 6); tap water (pH 6); drinking water (pH 6); drinking water diluted with alkaline water (pH 9);
and alkaline water (ph 12)

Sunday, 2 June 2013

Fresh seafood supermarket in Kampot

A simple way to find seafood products in seagrass supermarket.  

Part 1: Hand push net 




Amazing coastal communities in remote areas around the world finding seafood from the Marine supermarket. 

I impress a traditional knowledge and its creative ideas of fishing gears to supporte their seafood products from time to time. As a marine conservationist, I am very keen to go out to the sea to observe the security of seafood. During my travel, I always capture snapshots and document traditional livelihoods and the gears that they use as well as how much they can collect each day. Because of sea lover, I would like to promote an environmentally friendly practises. This is a starting point to write this blog.


May - June 2013, I have the opportunity to conduct seagrass baseline survey in Kampot, Cambodia.  There is the largest seagrass meadow in Southeast Asia which is needed update the status. During my field work on the seagrass bed, I found a local fisherman using a simple traditional fishing gear name "Hand Push Net". It makes from two rattan sticks and cotton net. He finds shrimps on the seagrass bed by walking with the hand put net in front. When its heavy weight enough, he lifts the net up to collect only shrimps and release other marine animal such as small crab, sponges, small fishes.




Many people might feel that this fishing gear may damage the seagrass. But  from my observation, hand push nets in both Phuket in Thailand and Kampot in Cambodia are not totally destroy seagrass patch. It may grab some part of seagrass leaves but not impact neither rhizomes nor roots. This kind of gear can use only when low-tide around 3-4 hours per day. 


How many kilogram they can collect per day? I discoverd in his bucket, it's around 2-3 kilograms of shrimps. I found only 4-5 fishermen use the hand push net in Kep thmei commune.



The coastal livelihood depending on the sea, but I don't know how long they can secure their seafood products. The big change is arriving at this area. The seagrass bed will be changed to a commercial seaport, special tourism zone soon. It's a long-term of the concession, of which 99 years. That means we will not only lose a seafood product and local livelihood, but we will lose both  large seagrass ecosystem and area of carbon sequestration for the climate change protection.